หน้าหลัก
ลงประกาศฟรี
สมัครสมาชิกฟรี
เข้าสู่ระบบจัดการประกาศ
สารบัญเว็บไซต์
ธรรมะออนไลน์
กระดานพูดคุย
ติดต่อลงโฆษณา
นรกมีจริงหรือไม่???
ถาม : กล่าวกันว่าการที่คนเราสมัยนี้มีความประพฤติย่อหย่อนทางศีลธรรมกันมาก ก็เพราะว่าไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ไม่กลัวโลกหน้า เนื่องจากยุคนี้เป็นยุควิทยาศาสตร์ อันเป็นยุคที่นักวิทยาศาสตร์ได้สอนไว้ว่า ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่เราไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ หรือไม่สามารถตรวจวัดได้ สิ่งนั้นล้วนย่อมเป็นเรื่องที่งมงายทั้งนั้น คนเราสมัยนี้ก็เลยไม่กลัว นรก บอกว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหล เป็นเรื่องที่ไม่ สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริง ๆ ได้ นรก คงเอาไว้สำหรับหลอกคนปัญญาอ่อนเล่นเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้เองคนเราสมัยนี้เลยชอบทำผิดศีลธรรมกันตามใจชอบ ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน สับสนวุ่นวายไปหมด ถึงตรงนี้ก็เลยอยากจะถามว่าในทางพุทธศาสนายืนยันได้หรือไม่ว่า นรกมีจริง ตอบ : ถ้าตอบตามหลักฐานที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ก็คงต้องตอบว่า พระพุทธศาสนายืน ยันว่า นรก มีจริง ! ถาม : เราจะมีการพิสูจน์เรื่องนี้ให้ประจักษ์ชัดได้อย่างไร เพราะสมัยนี้เป็นสมัยวิทยาศาสตร์ คนเราย่อมไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว คือต้องเห็นกับตาจึงจะเชื่อ เพราะถ้าจะอ้างว่า มีมาในพระไตรปิฎกเพียงอย่างเดียว คนสมัยนี้คงจะรับกันยาก ตอบ: มีวิธีพิสูจน์ความจริงอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะมีใครกล้าพิสูจน์หรือเปล่า ถาม : ถ้าเรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้จริง คนเราก็จะกลัวบาปกรรมกันมากขึ้น สังคมก็จะสงบสุข มากขึ้นกว่านี้ ตอบ : ถ้าอ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการทำความดีความชั่ว หลาย ๆ แห่ง ท่าน จะบอกชัดเลยว่า คนทำความดีแล้วก็จะได้รับผลดีในชีวิตนี้อย่างนี้ ๆ และเมื่อ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ก็จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ คนทำความชั่วก็เช่น เดียวกัน เมื่อทำความชั่วย่อมได้รับผลร้ายในชีวิตนี้อย่างนี้ ๆ และเมื่อเบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก ก็จะไปตกนรกชั้นนั้นๆ ถาม: ยังไม่เห็นมีวิธีพิสูจน์ตรงไหนเลย ตอบ : มีสิ..ท่านก็บอกเราให้เห็นชัดแล้วว่า นรกสวรรค์นี้เป็นเรื่องของชีวิตหลังความตาย คำว่า เบื้องหน้าแต่ตาย เมื่อกายแตก... ก็บอกให้รู้ ๆ อยู่ว่าต้องตายไปก่อนจึงจะได้พบเห็น นรกสวรรค์จึงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถพบเห็นประจักษ์ได้ใน ขณะที่มีชีวิตอยู่ ถาม : อ้าว..แล้วอย่างนี้จะพิสูจน์กันได้อย่างไร ตอบ : พิสูจน์ได้แน่นอน..แต่มีปัญหาอยู่ที่ว่าจะมีใครกล้าพิสูจน์หรือเปล่า นั่นคือ คนที่ต้องการจะรู้เห็นด้วยตัวเองว่านรกมีจริงหรือไม่ ก็ต้อง ยอมตาย เพื่อที่จะพิสูจน์ด้วยชีวิตของตนเอง เพื่อให้เป็นไปตามหลักที่ท่านได้วางไว้ นี้เป็นหนทางเดียว เท่านั้นในการพิสูจน์เรื่องนรกสวรรค์สำหรับปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ ถาม : โห..! อย่างนี้ใครจะกล้าลงทุนยอมตาย แล้วไม่มีทางอื่น ๆ จะพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ ได้อีกหรือไม่ เช่นวิธีการใช้เครื่องมือตรวจสอบต่างๆ ตอบ : การตรวจสอบผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นขอบเขตที่วิทยาศาสตร์สามารถทำได้ แต่ การพิสูจน์เรื่องของ นรกสวรรค์ ท่านว่าเป็นเรื่องของประสบการณ์ชีวิตหลังความตาย โดยตรง จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยชีวิต ไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ใช้ในการ ตรวจสอบได้ (แม้ว่าจะใช้เทคโนโลยี่เป็นเครื่องมือช่วยก็ตาม) ถาม : ถ้า นรก เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่เช่นนี้ แล้วเราจะเอาอะไรมาเป็น เครื่องช่วยให้เราให้เราเกิดความมั่นใจในการความดี ละเว้นความชั่ว ตอบ : ถ้าเป็นชาวพุทธสมัยก่อน เขาใช้หลักศรัทธา คือเชื่อมั่นในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัส ว่าเป็นความจริง เพราะเขาสามารถพิสูจน์ในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับชีวิต ปัจจุบันว่าล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ส่วนเรื่องของโลกหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ เขาก็ใช้ความศรัทธาเชื่อมั่นว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์ย่อม เป็นความจริงอย่างแน่นอน ความมั่นใจในความตรัสรู้ดีของพระพุทธองค์นี้เองที่ทำให้ชาวพุทธในสมัยก่อน ปฏิบัติตัวเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่เหมือนคนที่ไม่มีศรัทธาอย่างในยุคปัจจุบัน เพราะคนเรา หากไม่มีศรัทธา ก็มักจะทำอะไรตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม บ้านเมืองจึงเกิดความ วุ่นวายเสื่อมโทรมดังที่เห็นอยู่ในยุคปัจจุบัน ถาม : วิธีที่จะให้คนรุ่นใหม่หันมาเชื่อเรื่องนรกสวรรค์โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสนี้คงจะ ยากสักหน่อย เพราะคนรุ่นนี้ยิ่งเห็นเรื่อง ศรัทธา ว่าเป็นความงมงายอยู่ด้วย น่าจะ ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่ใช้ได้ผลอีกไหมในการชักจูงให้คนกลัวบาปกลัวกรรมกันมากขึ้น ตอบ : เราอาจจะใช้วิธี ไม่ประมาท ก็ได้ ถาม : วิธีนี้เราต้องปฏิบัติอย่างไร? ตอบ : ในเมื่อเรายังไม่รู้ชัดว่า นรกมีจริงหรือไม่จริง เราก็ไม่ประมาทไว้ก่อน คือ ตามหลักพุทธศาสนาท่านก็กล่าวไว้แล้วว่าหากเราทำความดี ผลแห่งกรรมดีนั้น ย่อมจะประจักษ์แก่ใจของเราในชีวิตนี้เอง คือมีความสุข ปีติ โสมนัส รื่นเริงบันเทิงใจ และ ทีนี้ในวันข้างหน้าหากเมื่อใดที่เราจะต้องตายไป เราก็มั่นใจได้เลยว่าหากมีนรก สวรรค์ขึ้นมาจริงละก้อ เราปลอดภัยแน่ ๆ เพราะเราทำความดีไว้มากมาย ทีนี้ถ้าหากว่า เราตายไปแล้ว เกิดนรกสวรรค์ไม่มีจริง ก็ยังถือว่าชีวิตของเราเท่าที่ได้ดำเนินมาก็ได้รับ ความสุขจากการทำความดี เป็นผลกำไรอย่างคุ้มค่าเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเสียดายเวลาอะไร คิดได้อย่างนี้ก็สบายใจ หายกังวล มีความมั่นใจในชีวิตมากขึ้นตรงกันข้ามกับคนประมาท ที่คิดว่านรกสวรรค์ฉันไม่เชื่อหรอก ชาตินี้เกิดมา ขอกอบโกยทุกรูปแบบเอาไว้ก่อน ทีนี้ความชั่วที่เขาทำไว้เยอะแยะ ที่จริงมันก็ก่อให้ เกิดผลร้ายแก่จิตใจของเขาทารุณมากพอแล้ว ต่อมาในยามเมื่อเขาตายไป ถ้ามันไม่มีนรก จริงๆ อย่างที่เขาว่าก็แล้วกันไป แต่ถ้าทีนี้มันเกิดมีนรกจริง ๆ ขึ้นมา แล้วเขาจะทำอย่างไร จะกลับมาแก้ตัวใหม่ก็ไม่ได้อีกแล้ว และ ความทุกข์ที่ได้รับในนรกก็แสนจะทารุณ มันไม่คุ้มค่า เลยกับความสุขทางวัตถุเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ตัวเองได้รับในยามเมื่อมีชีวิตอยู่เลย ถาม : ทำไมนรกมันน่ากลัวนักหรือ เหมือนกับที่เขียนตามผนังโบสถ์หรือเปล่า ตอบ : ความน่ากลัวของนรก ที่เขาเขียนตามผนังโบสถ์ในสมัยโบราณ มันเป็นเรื่องของจินตนาการของศิลปิน แต่ในพระไตรปิฎกมีอยู่พระสูตรหนึ่งที่กล่าวไว้ในเชิงเปรียบเทียบให้เห็นถึงความน่ากลัวของนรก คือท่านพูดบรรยายไม่ไหวก็เลย ใช้วิธีเปรียบเทียบเอา ถาม : ท่านเปรียบเทียบไว้อย่างไร ตอบ : พระภิกษุรูปหนึ่งได้ถามถึงความน่ากลัวของนรกกับพระพุทธเจ้า ว่านรกมีความทุกข์แสนสาหัส เพียงไร พระพุทธองค์จึงย้อนถามพระภิกษุรูปนั้นว่า คนเราถ้าโดนหอกร้อยเล่มแทงทั่วร่างกาย ทุกเช้าเย็น ติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน รวมเป็นหอก ๓๐๐ เล่ม เขาจะรู้สึกทุกข์สักเพียงไร พระภิกษุรูปนั้นกล่าวตอบว่า อย่าว่าแต่หอก ๓๐๐ เล่มเลย แค่เล่มเดียวก็ทุกข์เจ็บปวดทรมานเจียนตายแล้ว จากนั้นพระพุทธองค์จึงได้ทรงหยิบก้อนหินก้อนขนาดฝ่ามือขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วถามภิกษุรูปนั้นต่อไปว่า หากเธอเปรียบเทียบก้อนหินก้อนเท่าฝ่ามือนี้กับภูเขาหิมาลัย (ขนาดสูงประมาณ 9000 เมตร ) ที่อยู่เบื้องหลัง เธอว่ามันมีความแตกต่างกันสักเพียงไร ภิกษุรูปนั้นกล่าวตอบว่า โอ! มันช่างแตกต่างกันมากมายมหาศาลอย่างที่เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย พระพุทธองค์จึงตรัสอุปมาให้เห็นภาพทันทีว่า ความทุกข์ที่เกิดจากหอก๓๐๐ เล่มแทงตามร่างกาย เปรียบเสมือนกับขนาดก้อนหินที่ถืออยู่ในมือนี้ ส่วนความทุกข์ในนรกนั้นช่างใหญ่หลวง เปรียบเสมือนขนาดภูเขาหิมาลัยที่ใหญ่โตมโหฬารที่ตั้งตระหง่านที่เบื้องหลังของเรานี้ จะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ท่านทรงใช้วิธีพูดเปรียบเทียบเพื่อให้เราจินตนาการให้เห็นความทุกข์ในนรกว่ามันช่างหนักหนาสาหัสเพียงไร ทุกข์แค่ไหนก็นึกภาพเอาเองก็แล้วกัน ถึงตรงนี้ก็เลยขอถามว่า ถึงเราจะไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์นี้ก็ตาม แต่ว่าเราจะยอมเสี่ยงหรือเปล่า เพราะถ้าหาก นรก มันเกิดมีจริงๆ ขึ้นมา การตกนรกนั้นก็ย่อมหมายถึงการที่เราหมดโอกาสที่จะกลับมาแก้ไขตัวเองใหม่อีกต่อไป ใช่หรือไม่ อีกทั้งเวลาของการที่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานในนรกนั้น หากเราประกอบกรรมชั่วไว้เป็นอาจิณ ท่านว่าเวลาที่เรารับผลกรรมมันช่างยาวนานยิ่งนัก นรกบางขุมนั้นมีความยาวนานมากจนจินตนาการ แทบไม่ไหวเลยทีเดียว ถาม : ระยะเวลาในนรกยาวนานแค่ไหน? ตอบ : ท่านว่าขึ้นอยู่กับกรรม(การกระทำ)ของผู้นั้น ระยะเวลาตกนรกมีตั้งแต่ไม่กี่วัน (เช่น ในกรณีที่ทำความดีมานาน แต่เผอิญเผลอสติไปคิดชั่วก่อนตายเพียงแว้บเดียว ) หนึ่งเดือน หนึ่งปี ร้อยปี พันปี แสนปี จนถึงบางคนที่ประกอบกรรมชั่วหนัก ๆ เช่น มีจิตอาฆาตในพระอริยเจ้า ท่านว่าต้องทนทุกข์ทรมานนรกที่มีระยะเวลายาวนานปีนับหลายล้าน ๆ ปี ( จำนวนศูนย์ ๑๒๔ ตัว) เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามันไม่คุ้มค่าเลยที่จะทำความชั่วเพียงเพื่อแลกกับความสุขทางวัตถุชั่วครั้งชั่วคราว ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ถาม : ถึงตรงนี้อยากให้สรุปสักหน่อยว่า คนรุ่นใหม่ควรมีท่าทีอย่างไร เกี่ยวกับเรื่อง นรกสวรรค์ ตอบ : สรุปคือ ถ้ามีใครมาถามชาวพุทธว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ ก็ตอบไปได้เลยว่า พระพุทธเจ้าสอนว่ามีจริง (ตามหลักฐานในพระไตรปิฎก) และถ้าหากเขาถามถึงความคิดเห็นส่วนตัวของเราว่าเชื่อในเรื่องนี้หรือเปล่า เราก็ตอบไปอย่างตรงไปตรงมาว่า ยังไม่เชื่อ เพราะเกิดมาไม่เคยเห็นสักที แต่ที่แน่ ๆ คือฉัน ไม่ประมาท คือ ฉันมีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องของฉันเองว่า ถ้าหากมันเกิดมี นรก ขึ้นมาจริงๆ ละก้อ สถานที่เช่นนั้นคงจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชีวิตฉันอย่างแน่นอน
© 2009 Thaicenterway.com